
ไขความลับกระจก: เลือกแบบไหนให้บ้านสวยเย็นสบาย ไม่ต้องกลัวร้อน!
ในยุคที่แสงแดดแผดจ้า การเลือก “กระจก” ให้กับบ้านไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามอีกต่อไป แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่น่าอยู่ ประหยัดพลังงาน และมอบความรู้สึกสบายตลอดวัน บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับประเภทของกระจกที่หลากหลาย พร้อมไขเคล็ดลับการเลือกใช้กระจกให้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องความสวยงามและประสิทธิภาพในการป้องกันความร้อนได้อย่างลงตัว
กระจกมีกี่ประเภท? ทำความรู้จักก่อนตัดสินใจ!
กระจกที่เราเห็นกันทั่วไปนั้นมีคุณสมบัติและกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน ทำให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละพื้นที่ นี่คือประเภทของกระจกที่นิยมใช้ในงานสถาปัตยกรรมและการตกแต่งบ้าน:
- กระจกใสธรรมดา (Float Glass / Clear Glass): เป็นกระจกพื้นฐานที่ผลิตขึ้นโดยการลอยตัวบนแผ่นโลหะเหลว ทำให้ได้ผิวที่เรียบใส โปร่งแสง มองผ่านได้ชัดเจน ให้ภาพสะท้อนที่สมบูรณ์ ข้อดีคือราคาถูก หาซื้อง่าย แต่มีข้อเสียคือไม่ได้ช่วยลดความร้อนและรังสี UV ได้มากนัก จึงมักใช้ในส่วนที่ไม่โดนแดดจัด หรือต้องการรับแสงธรรมชาติเต็มที่
- กระจกสี (Tinted Glass): คือกระจกใสที่ผสมสารโลหะออกไซด์ลงไประหว่างการผลิต ทำให้เกิดสีสันต่าง ๆ เช่น สีเขียว ชา ฟ้า หรือบรอนซ์ กระจกชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยลดปริมาณแสงและความร้อนที่ผ่านเข้ามาในอาคารได้ดีกว่ากระจกใสธรรมดา ช่วยให้ภายในบ้านรู้สึกเย็นสบายตามากขึ้น และยังเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้ในระดับหนึ่ง
- กระจกสะท้อนแสง (Reflective Glass): เป็นกระจกที่เคลือบผิวด้วยสารโลหะบาง ๆ เพื่อให้มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อนและแสงอาทิตย์กลับออกไปจากตัวอาคารได้ดีเยี่ยม จึงช่วยลดความร้อนภายในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังให้ความเป็นส่วนตัวสูง เพราะภายนอกจะมองเห็นเป็นภาพสะท้อนคล้ายกระจกเงา แต่ข้อควรระวังคือแสงสะท้อนจากกระจกอาจไปรบกวนเพื่อนบ้านได้หากติดตั้งในทิศทางที่ไม่เหมาะสม
- กระจกนิรภัยเทมเปอร์ (Tempered Glass): ผ่านกระบวนการอบด้วยความร้อนสูงแล้วทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว ทำให้กระจกมีความแข็งแรงทนทานกว่ากระจกธรรมดาถึง 3-5 เท่า เมื่อแตกจะแตกเป็นเม็ดเล็ก ๆ คล้ายเมล็ดข้าวโพด ไม่คม จึงปลอดภัยกว่าการแตกของกระจกธรรมดาที่มักแตกเป็นชิ้นใหญ่คมกริบ เหมาะสำหรับประตู หน้าต่าง บานกั้นอาบน้ำ หรือพื้นที่ที่ต้องการความปลอดภัยสูง
- กระจกลามิเนต (Laminated Glass): เป็นการนำกระจกสองแผ่นหรือมากกว่า มาประกบกันโดยมีแผ่นฟิล์ม PVB (Polyvinyl Butyral) คั่นกลาง เมื่อกระจกแตก เศษกระจกจะยังคงยึดติดอยู่กับแผ่นฟิล์ม ไม่ร่วงหล่นกระจาย จึงช่วยลดอันตรายจากการบาดเจ็บ และยังช่วยป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีเยี่ยม รวมถึงช่วยกันรังสี UV ได้มากกว่า 90%
- กระจกฉนวนกันความร้อน (Insulated Glass Unit หรือ IGU): หรือที่เรียกว่ากระจกสองชั้น เป็นการนำกระจกตั้งแต่ 2 แผ่นขึ้นไปมาประกบกัน โดยมีช่องว่างคั่นกลางที่อาจบรรจุอากาศแห้งหรือก๊าซเฉื่อย (เช่น อาร์กอน) ไว้ภายใน แล้วซีลขอบให้สนิท คุณสมบัติเด่นคือเป็นฉนวนกันความร้อนและเสียงได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยลดการถ่ายเทความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง และประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้มาก มักใช้ในอาคารที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิและลดเสียงรบกวนเป็นพิเศษ
- กระจกดัดโค้ง (Curved Glass) เป็นกระจกที่ใช้ในงานตกแต่งที่สามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก ซึ่งจะมีการใช้ความร้อนในการดัดโค้งตามรูปแบบที่ต้องการ มีราคาสูง และมีข้อจำกัดเรื่องขนาดและรัศมีความโค้ง การใช้งาน เหมาะสำหรับใช้ตกแต่งอาคาร ระเบียง ราวบันได ฉากกั้น เฟอร์นิเจอร์ หรืออุโมงค์เชื่อมทางเดิน
- กระจกเงา (Mirror Glass) เป็นกระจกที่ใช้ในงานตกแต่งกันอย่างแพร่หลาย ควรเลือกใช้ที่ขนาดความหนา 6 มม. ขึ้นไปเพื่อให้ภาพสะท้อนขนาดเท่าของจริง ไม่หลอกตา นิยมนำมาเจียรปลีที่ขอบเพื่อความหรูหราและความสวยงาม เพิ่มมิติให้กับผนัง การใช้งาน เหมาะสำหรับใช้ตกแต่งภายใน และกรุผนัง
เลือกกระจกแบบไหนให้บ้านสวยเย็นสบาย ไม่ร้อน?
การเลือกกระจกให้ลงตัวต้องพิจารณาทั้งความสวยงาม ฟังก์ชันการใช้งาน และทิศทางของแสงแดด
- ลดความร้อน เพิ่มความเย็นสบาย:
- กระจกเขียวตัดแสง: เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับบ้านพักอาศัยในเมืองไทย เพราะช่วยลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ถึง 50% และป้องกันรังสี UV ทำให้บ้านเย็นสบายตา ไม่ร้อนอบอ้าว และยังช่วยให้แสงที่ส่องผ่านเข้ามาดูนุ่มนวล
- กระจกสะท้อนแสง (Reflective Glass): เหมาะสำหรับผนังกระจกขนาดใหญ่ที่รับแดดจัด หรือทิศที่โดนแดดช่วงบ่าย เพราะสามารถสะท้อนความร้อนได้ดีเยี่ยม แต่ควรระมัดระวังเรื่องทิศทางการสะท้อนแสงที่อาจส่งผลกระทบต่อบ้านข้างเคียง
- กระจกฉนวนกันความร้อน (IGU): หากงบประมาณไม่ใช่ปัญหา และต้องการประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันความร้อนและเสียงรบกวน กระจก IGU คือคำตอบที่ดีที่สุด เหมาะสำหรับบ้านที่ต้องการประหยัดพลังงานในระยะยาว ช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องปรับอากาศได้อย่างเห็นผล
- กระจก Low-E (Low-Emissivity Glass): เป็นกระจกที่มีการเคลือบสารพิเศษบาง ๆ เพื่อลดการแผ่รังสีความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร ทำให้ภายในบ้านเย็นสบายขึ้นโดยที่ยังคงรับแสงธรรมชาติได้ดี
- ความสวยงามและดีไซน์:
- กระจกใส: เหมาะสำหรับบ้านที่ต้องการความโปร่งโล่ง เน้นการเชื่อมโยมพื้นที่ภายในและภายนอกเข้าด้วยกัน หรือต้องการรับแสงธรรมชาติให้มากที่สุด
- กระจกสี: ช่วยเพิ่มลูกเล่นและเอกลักษณ์ให้กับตัวบ้านได้เป็นอย่างดี สามารถเลือกสีให้เข้ากับการออกแบบโดยรวม เช่น สีเขียวให้ความรู้สึกสดชื่น สีชาให้ความอบอุ่น
- กระจกมีลวดลาย (Patterned Glass): สำหรับพื้นที่ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวแต่ยังคงให้แสงสว่างส่องผ่านได้ เช่น ห้องน้ำ หรือบริเวณที่ต้องการเพิ่มลูกเล่นทางสายตา
- ความปลอดภัย:
- กระจกนิรภัยเทมเปอร์: สำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแตกหัก เช่น ประตูบานเลื่อน หน้าต่างขนาดใหญ่ หรือส่วนที่เด็ก ๆ อาจสัมผัสได้
- กระจกลามิเนต: เพิ่มความปลอดภัยอีกขั้นจากกระจกเทมเปอร์ เนื่องจากเมื่อแตกเศษกระจกจะยังยึดติดกัน เหมาะสำหรับช่องเปิดขนาดใหญ่ หรือบริเวณที่ต้องการความปลอดภัยสูงจากการบุกรุก
เคล็ดลับเพิ่มเติมเพื่อบ้านสวยเย็นสบาย
- ทิศทางของบ้าน: พิจารณาทิศทางที่แดดส่องถึง หากเป็นทิศตะวันตกที่รับแดดจัด ควรเลือกกระจกที่มีคุณสมบัติลดความร้อนสูง
- ขนาดและสัดส่วน: การใช้กระจกขนาดใหญ่จะช่วยให้บ้านดูโปร่งโล่ง แต่ก็แลกมาด้วยความร้อนที่อาจเข้ามาได้มาก หากต้องการใช้กระจกขนาดใหญ่ ควรลงทุนกับกระจกที่มีประสิทธิภาพในการกันความร้อนสูง
- การระบายอากาศ: แม้จะเลือกกระจกกันร้อนที่ดีแล้ว การออกแบบให้มีช่องลมหรือการระบายอากาศที่ดี จะช่วยลดความร้อนสะสมภายในบ้านได้อีกทางหนึ่ง
- อุปกรณ์เสริม: การติดตั้งผ้าม่าน มู่ลี่ หรือฟิล์มกรองแสง ก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดความร้อนและเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้
การเลือกกระจกสำหรับบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตและบรรยากาศภายในบ้าน หากเลือกได้เหมาะสม บ้านของคุณจะสวยงาม น่าอยู่ และเย็นสบายตลอดปี โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าไฟที่บานปลายอีกต่อไป!
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกกระจกให้บ้านของคุณนะคะ! หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้เลยค่ะ




